เมล็ดแฟล็กซ์ (Flaxseed /Linseed)
เมล็ดแฟลกซ์หรือเมล็ดลินิน มีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดงา เป็นเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยน้ำมันแฟลกซ์ ซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 หรือ กรดแอลฟาไลโนเลนิค และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย กรดไขมันที่จำเป็นเหมือนน้ำมันปลา (fish oil) มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล (cholesterol) ช่วยป้องกันเลือดจับกันเป็นก้อน ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
ในเมล็ดแฟล็กซ์มีไฟเบอร์ทั้ง 2 ชนิด คือ ที่ละลายน้ำได้ จะช่วยลดระดับโคเรสตอรอลและปรับระดับกลูโคสในร่างกาย ทำให้อยากทานประเภทคาร์โบรไฮเดรตน้อยลง ส่วนไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยไม่ให้ของเสียสะสมอยู่ในร่างกายนาน เมล็ดแฟลกซ์มีผลเป็นยาระบายท้องผูก เพราะมีความเป็นเยื่อสูง ช่วยในระบบขับถ่ายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
แต่การบริโภคปริมาณมาก โดยไม่บริโภคน้ำเพียงพอ จะทำให้ไปอุดตันในลำไส้เล็กได้
เมล็ดแฟล็กซ์ (ไม่ใช่น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์) มีสารชื่อ 'ลิกแนน (Lignans)' ซึ่ง คุณสมบัติของสารนี้มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศหญิง (phytoestrogen) ธรรมชาติ ฮอร์โมนที่สามารถไปช่วยหล่อเลี้ยงสมองและระบบประสาท ผิวหนัง ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง และระบบสืบพันธุ์ ช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ดี เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ในเวลากลางคืน หลับไม่สนิท ผิวแห้ง ตาแห้ง ช่องคลอดแห้ง นอกจากนั้นลิกแนนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา เสริมสร้างกระดูก จึงไม่เป็นโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
เมล็ดแฟล็กซ์ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และบี 2 วิตามินซี ดี และวิตามินอี รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆ แถมยังมีโปรตีนเกือบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ มีกรดอะมิโนที่ช่วยยับยั้งความหิว ช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี เปล่งปลั่ง
เมล็ดแฟลกซ์เป็นผลดีในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก (Breast cancer, Prostate cancers) โดยผลวิจัยของมหาวิทยาลัย Duke แนะว่าเมล็ดแฟลกซ์น่าจะมีผลดีต่อการหยุดยั้งการเติบโตของมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดความรุนแรงของเบาหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
ขนาดรับประทาน :
- เมล็ดแฟลกซ์ ก่อนนำมารับประทานต้องนำมาบดกับเครื่องบดก่อนร่างกายจึงจะสามารถย่อยและดูดซึมได้ดี
เมล็ดแฟลกซ์มีรสหอมมัน เมล็ดแฟลกซ์ไม่มีกลิ่นหรือรส อาจนำมาประกอบอาหาร เครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติ
ใส่แฟลกซ์ป่นในอาหาร แกงหรือซุป ใส่ในสลัด ในกาแฟและเครื่องดื่มร้อน
- หากเป็นน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ รับประทาน 1 ช้อนชาถึง 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือในรูปของอาหารเสริมประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม (น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ จะไม่มี สาร lignan phytoestrogen)
ข้อควรระวัง :
- เนื่องจากการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น warfarin ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด หรือทำฟัน ควรหยุดรับประทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เสื่อมสภาพง่ายเมื่อถูกแสงและความร้อน ควรเก็บรักษาในที่เย็น ควรบดเท่าที่พอกิน ไม่เก็บแฟลกซ์ป่นไว้นานเกินไป เพราะน้ำมันแฟลกซ์เหม็นหืนได้
น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาไม่ได้
เมล็ดแฟลกซ์หรือเมล็ดลินิน มีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดงา เป็นเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยน้ำมันแฟลกซ์ ซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 หรือ กรดแอลฟาไลโนเลนิค และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย กรดไขมันที่จำเป็นเหมือนน้ำมันปลา (fish oil) มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล (cholesterol) ช่วยป้องกันเลือดจับกันเป็นก้อน ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
ในเมล็ดแฟล็กซ์มีไฟเบอร์ทั้ง 2 ชนิด คือ ที่ละลายน้ำได้ จะช่วยลดระดับโคเรสตอรอลและปรับระดับกลูโคสในร่างกาย ทำให้อยากทานประเภทคาร์โบรไฮเดรตน้อยลง ส่วนไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยไม่ให้ของเสียสะสมอยู่ในร่างกายนาน เมล็ดแฟลกซ์มีผลเป็นยาระบายท้องผูก เพราะมีความเป็นเยื่อสูง ช่วยในระบบขับถ่ายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
แต่การบริโภคปริมาณมาก โดยไม่บริโภคน้ำเพียงพอ จะทำให้ไปอุดตันในลำไส้เล็กได้
เมล็ดแฟล็กซ์ (ไม่ใช่น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์) มีสารชื่อ 'ลิกแนน (Lignans)' ซึ่ง คุณสมบัติของสารนี้มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศหญิง (phytoestrogen) ธรรมชาติ ฮอร์โมนที่สามารถไปช่วยหล่อเลี้ยงสมองและระบบประสาท ผิวหนัง ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง และระบบสืบพันธุ์ ช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ดี เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ในเวลากลางคืน หลับไม่สนิท ผิวแห้ง ตาแห้ง ช่องคลอดแห้ง นอกจากนั้นลิกแนนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา เสริมสร้างกระดูก จึงไม่เป็นโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
เมล็ดแฟล็กซ์ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และบี 2 วิตามินซี ดี และวิตามินอี รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆ แถมยังมีโปรตีนเกือบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ มีกรดอะมิโนที่ช่วยยับยั้งความหิว ช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี เปล่งปลั่ง
เมล็ดแฟลกซ์เป็นผลดีในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก (Breast cancer, Prostate cancers) โดยผลวิจัยของมหาวิทยาลัย Duke แนะว่าเมล็ดแฟลกซ์น่าจะมีผลดีต่อการหยุดยั้งการเติบโตของมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดความรุนแรงของเบาหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
ขนาดรับประทาน :
- เมล็ดแฟลกซ์ ก่อนนำมารับประทานต้องนำมาบดกับเครื่องบดก่อนร่างกายจึงจะสามารถย่อยและดูดซึมได้ดี
เมล็ดแฟลกซ์มีรสหอมมัน เมล็ดแฟลกซ์ไม่มีกลิ่นหรือรส อาจนำมาประกอบอาหาร เครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติ
ใส่แฟลกซ์ป่นในอาหาร แกงหรือซุป ใส่ในสลัด ในกาแฟและเครื่องดื่มร้อน
- หากเป็นน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ รับประทาน 1 ช้อนชาถึง 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือในรูปของอาหารเสริมประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม (น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ จะไม่มี สาร lignan phytoestrogen)
ข้อควรระวัง :
- เนื่องจากการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น warfarin ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด หรือทำฟัน ควรหยุดรับประทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เสื่อมสภาพง่ายเมื่อถูกแสงและความร้อน ควรเก็บรักษาในที่เย็น ควรบดเท่าที่พอกิน ไม่เก็บแฟลกซ์ป่นไว้นานเกินไป เพราะน้ำมันแฟลกซ์เหม็นหืนได้
น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาไม่ได้
No comments:
Post a Comment