Monday, June 15, 2015

Thursday, June 4, 2015

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ _Erectile Dysfunction



(Erectile Dysfunction – ED, Impotence)


โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือ โรคอีดี หมายถึงภาวะที่อวัยวะเพศ ไม่สามารถคงการแข็งตัว หรือแข็งตัวได้เพียงระยะสั้นๆ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างพืงพอใจ

สาเหตุส่วนใหญ่โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศไม่เพียงพอ 

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ED นี้ ส่วนมากเป็นแค่อาการชั่วคราว สามารถรักษาได้หากพบปัญหาและรีบรักษา สามารถพบได้ทุกวัย ในชายบางคน อาจพบ อาการถาวร หรืออาการเกิดซ้ำ แต่พบได้มากขึ้น เมื่อมี อายุมากขึ้น, ผู้มีปัญหาทางด้านจิตใจ หรือ ทางร่างกาย 
 

สาเหตุของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่มักจะมีหลายสาเหตุร่วมกัน หลัก ได้แก่
1.     ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย

ระดับฮอร์โมน เทสโทสเตอโรน (testosterone) ที่ลดลง เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น พบว่าผู้ชายอายุ 60-70 ปี จะมีโอกาสที่จะหย่อนสมรรถภาพทางเพศมากถึงร้อยละ 73

2. ปัจจัยจากสภาพร่างกาย
โรคเรื้อรัง พบว่าเป็นสาเหตุของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ถึงร้อยละ 70 
- โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศลดลง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง

- ความผิดปกติของระบบประสาท ซึ่งเซลล์ประสาทไม่สามารถส่งสัญญาณไปควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เช่น โรคเกี่ยวกับสมอง เนื้องอกในสมอง ลมชัก อัมพาต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ โรคไขสันหลัง โรคพิษสุราเรื้อรัง

- การผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกราน หรืออุบัติเหตุ ที่มีผลต่อ โครงสร้างอวัยวะเพศชาย หลอดเลือดแดง หรือ เส้นประสาทที่ไปควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศ 
- การใช้ยา ยาบางชนิดมีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาขับปัสสาวะ ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด 
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากยาเป็นเพียงอาการชั่วคราว และจะกลับมาเป็นปกติหลังจากหยุดยา
- อื่นๆ เช่น การได้รับรังสี  มีน้ำหนักตัวมากเกินปกติ การสูบบุหรี่ ยาเสพติด การขี่จักรยานทางไกล

3. ปัจจัยจากสภาพจิตใจ พบว่าปริมาณร้อยละ 10-30 ของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีสาเหตุมาจากความเครียด ความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาครอบครัว


การรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ในบางรายแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ลดอาหารรสเค็ม งดสุรา หยุดสูบบุหรี่ ลดน้ำหนัก และออกกำลังกาย ให้มีสุขภาพแข็งแรง ก็อาจแก้ปัญหาและช่วยให้กลับมามีเพศสัมพันธ์ที่ดีได้
แพทย์อาจพิจารณาหยุดยาที่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศและใช้ยากลุ่มอื่นทดแทน
    1. การรักษาทางจิตใจ
ตรวจสอบดูว่าปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดจากภาวะทางจิตใจหรือไม่ โดยลองสังเกตว่าอวัยวะเพศมีการแข็งตัวในตอนเช้า หรือ ระหว่างนอนหลับ หรือไม่ หากมีการแข็งตัวแสดงว่าอวัยวะเพศไม่ได้มีปัญหา แต่มีปัญหาจากภาวะทางจิตใจ ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อรับการบำบัดทางจิต และความร่วมมือจากคู่ครอง คู่ครองสามารถช่วยได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป หรือมีการเล้าโลมก่อน เทคนิคนี้สามารถลดความวิตกกังวลได้อย่างดี อย่างไรก็ตามวิธีนี้ต้องใช้เวลา 

2.    การใช้ฮอร์โมนทดแทน

เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในเลือดต่ำ เช่น วัยสูงอายุ
ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน หรือฮอร์โมนเพศชาย ชนิดกินหรือชนิดฉีด   สามารถรักษาผู้ป่วยภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าปกติ แพทย์จะให้ฮอร์โมนทดแทนกรณีมีข้อบ่งชี้อย่างชัดเจนและไม่มีข้อห้ามในการรักษา กล่าวคือ ไม่มีประวัติของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหรือต่อมลูกหมากโต ซึ่งระหว่างใช้ยาแพทย์จำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คอยตรวจค่าต่างๆ เป้นระยะ เช่น การตรวจทางทวารหนัก ความเข้มข้นของเลือด การควบคุมการเปลี่ยนแปลงการทำงานของตับและต่อมลูกหมาก รวมถึงการเจาะเลือดตรวจค่าพีเอสเอ (PSA) ที่เป็นค่าบ่งชี้ของมะเร็งต่อมลูกหมาก 

หากการรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล จำเป็นต้องใช้ยา เครื่องมือกระบอกสูญญากาศ หรือ การผ่าตัดใส่แกนเข้าองคชาต  
3.    การรักษาด้วยยาที่ช่วยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดเข้าในองคชาต
ยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีทั้งยากิน ยาฉีด หรือยาสอด
ยากิน เพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดเข้าในอวัยวะเพศ เช่น
ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ฟอสโฟไดเอสเทอเรส (PDE 5 inhibitors) เป็นยากินที่ได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น ยา Sildenafil หรือชื่อทางการค้า ไวอากร้า (Viagra) เป็นยาที่รักษาอาการโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ยานี้จะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าในอวัยวะเพศมากขึ้น โดยต้องทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง (บางรายอาจรอนานถึง 2 ชั่วโมง) ยาจะออกฤทธิ์นาน 60 นาที ยานี้จะมีประสิทธิภาพ ต่อเมื่อ ต้องมีการกระตุ้นทางเพศร่วมด้วยเสมอ ไม่ควรใช้มากกว่าวันละหนึ่งครั้ง ขนาดยาที่แนะนำคือ 50 มิลลิกรัมและอาจปรับยาเพิ่มเป็น 100 มิลลิกรัมหรือลดเป็น 25 มิลลิกรัมขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละคน 
ในกรณีของการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศไม่ได้ผล อาจเกิดจากสาเหตุหลัก คือ มีระดับฮอร์โมน เทสโทสเตอโรนต่ำ การใช้ยาไม่ถูกต้อง ยาปลอม มีการกระตุ้นทางเพศไม่เพียงพอ ใช้ยาในขนาดที่ไม่เหมาะสม ระยะเวลาระหว่างการกินยาและการมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมาะสม
ข้อห้ามสำคัญ

ห้ามใช้ยากับผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ได้รับยาไนเตรต หรือยาที่มีส่วนประกอบไนเตรต เพราะจะทำให้ความดันโลหิตตกลงทันที อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
มีข้อควรระวังใน ผู้ที่มีโรคตับ ไตวาย หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
ยา PDE 5 inhibitors อื่นๆ เช่น tadalafil, vardenafil

ยากินชนิดอื่น เช่น yohimbine  hydrochloride  etc. มีประสิทธิภาพบ้าง
ยา Yohimbine ยานี้จะขยายหลอดเลือด และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าในอวัยวะเพศมากขึ้น ยานี้อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อให้เกิดผล มีข้อควรระวังใน ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ โรคไต, ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (เจ็บหน้าอก), แผลในกระเพาะ โรคตับ หรือ ผู้ที่อยู่ระหว่างทานยารักษาอาการซึมเศร้า ผู้สูงอายุ
4.    ยาฉีดเข้าที่อวัยวะเพศ (Penile injections) และยาสอดทางท่อปัสสาวะ (Intraurethral agents) 

ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการยากิน
การฉีดยาเข้าที่องคชาต ซึ่งยานี้จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าในอวัยวะเพศมากขึ้น ทำให้แข็งตัวได้ ยาดังกล่าว ได้แก่ papaverine hydrochloride, phentolamine และ alprostadil
ผู้ป่วยควรเรียนรู้เรื่องวิธีการฉีดยาที่ถูกต้องและปลอดภัย ยาฉีดเข้าที่โคนอวัยวะเพศ ต้องปรับขนาดใช้ให้เหมาะสม คือ ใช้แล้วทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ประมาณ 30-60 นาที (ไม่ควรนานกว่านี้) ข้อดีของการฉีด คือ อวัยวะเพศแข็งตัวได้ภายใน 5-15 นาที ในแต่ละครั้งที่ฉีดต้องสลับข้างเพื่อป้องกันเนื้อตาย
ผลข้างเคียงยาฉีดเข้าที่อวัยวะเพศ ได้แก่ อาจมีอาการปวดแสบ ปวดร้อนบริเวณที่ฉีด องคชาตแข็งตัวอยู่ตลอด อาการโด่ไม่รู้ล้ม (priapism) และเป็นพังผืด  และในผู้ที่มีอวัยวะเพศคดงอ เพราะเมื่อแข็งตัวจะทำให้ปวดมาก
ยาสอดทางท่อปัสสาวะ
ผลข้างเคียง ยาสอดทางท่อปัสสาวะ ฝ่ายชายอาจมีอาการปวดแสบบริเวณท่อปัสสาวะ ส่วนฝ่ายหญิง อาจเกิดอาการคันหรือปวดแสบภายในช่องคลอด
5.    การใช้อุปกรณ์ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดเข้าในองคชาต
การใช้กระบอกสุญญากาศ
กลไกของกระบอกสุญญากาศคือ ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศซึ่งทำให้หลอดเลือดขยายตัว สามารถช่วยให้เลือดไหลมาคั่งที่อวัยวะเพศทำให้แข็งตัวได้ แล้ว ใช้ยางรัดที่โคนอวัยวะเพศ
อุปกรณ์ดังกล่าวมีอยู่สามส่วนคือ กระบอกพลาสติกสำหรับครอบองคชาต ตัวปั๊มซึ่งช่วยดึงอากาศออกจากกระบอกสุญญากาศ และยางรัดซึ่งวางรอบฐานขององคชาตเพื่อให้การแข็งตัวคงอยู่ได้หลังนำกระบอกสุญญากาศออกแล้วและระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ

ข้อห้ามสำคัญ 


ห้ามรัดนานเกินกว่า 30 นาที เพราะอาจมีการขาดการไหลเวียนของเลือด ห้ามใช้ในคนที่เลือดออกง่าย ผู้ที่ทานยาแอสไพริน หรือยาที่ต้านการแข็งตัวของเลือด
ห่วงรัดอวัยวะเพศชาย ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ยืดหดได้ มีหลายขนาด ใช้สวมอวัยวะเพศที่เริ่มแข็งตัวดี ช่วยป้องกันไม่ให้มีการไหลย้อนกลับของเลือดจากองคชาต ทำให้องคชาตแข็งตัวได้นานขึ้น ไม่ควรสวมนานเกินกว่า 30 นาที เพราะอาจมีการขาดการไหลเวียนของเลือด
6.     การผ่าตัดฝังแกนหรืออวัยวะเทียม (Penile Implant, Prosthesis Surgery)

การผ่าตัดฝังแกน จะพิจารณาเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อวิธีการอื่น ๆ
ในการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่ประสบความสำเร็จ ค่าใช้จ่ายสูง
การผ่าตัดรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศทำได้ 3 วิธี ได้แก่ 
การผ่าตัดใส่อวัยวะเทียมเป็นแกนองคชาตเพื่อให้องคชาตสามารถแข็งตัวได้ (Penile Implant)
การสร้างหลอดเลือดแดงใหม่เพื่อให้มีเลือดไหลเข้าองคชาตได้ (Penile Artery Bypass Surgery) เหมาะสำหรับชายอายุไม่มากนัก
การผ่าตัดปิดการไหลของหลอดเลือดดำไหลออกจากองคชาต (Venous Ligation Surgery) เหมาะสำหรับชายอายุไม่มากนัก

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศกับวัยทอง

ชายวัยทอง มีภาวะพร่องฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน เป็นผลให้เกิดการสูญเสียความต้องการทางเพศ  และ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้ฮอร์โมนทดแทน 
จากการทดลองพบว่า ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน มีผลต่อกลไกการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะความต้องการทางเพศ และ การแข็งตัวขององคชาต 
ทั้ง ยังมีการทดลองที่ พบว่า ในผู้มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศส่วนหนึ่งที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากิน กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ฟอสโฟไดเอสเทอเรส (phosphodiesterase - PDE) ซึ่งยากินกลุ่มนื้จะช่วยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดเข้าในอวัยวะเพศ ทำให้องคชาตแข็งตัว เมื่อได้รับฮอร์โมนเพศชายทดแทนจะเพิ่มการตอบสนองต่อการกินยาดังกล่าวได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ระดับฮอร์โมนเพศชายที่ต่ำกว่าปกติยังมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด อีกด้วย


Alternative natural treatment
Butea superba สมุนไพรเสริมสร้างสมรรถภาพของอวัยวะเพศชาย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด เพิ่มระดับฮอร์โมน กระตุ้นประสาทรับความรู้สึก 
From trials, Butea superba was found to have androgenic effects.
The Extraction of Butea superba root from laboratory, Butea superba contains two important compounds: flavonoid and flavonoid glycoside. And both compounds show strong inhibitory effects on cAMP phosphodiesterase.
Inhibition of cAMP phosphodiesterase will help increase blood flow into the penis, which resulting in strong erection. Which this mechanism is the same as sildenafil (Viagra). Therefore some people call Butea superba as Herbal Viagra.
Butea superba herb has androgenic effects like boosting testosterone in your body and also for being a potent cAMP phosphodiesterase inhibitor. Thus Butea superba can help treat erectile dysfunction effectively and safely, without complications like synthetic medicine.


บทความโดย  http://easydtox.blogspot.com/  

http://www.puremiracleherbs.com/

Sunday, May 17, 2015

สบู่สมุนไพรสกัดกวาวเครือขาว_ pueraria mirifica herbal soap

ขายสบู่สมุนไพรสารสกัดกวาวเครือขาว เข้มข้น แฮนด์เมด
 
(Pueraria mirifica Concentrated Extract Herbal Soap - Premium Handmade - Export Formula) 


สบู่สมุนไพร 100% อุดมด้วยสารสกัดสมุนไพร เข้มข้น และ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ จาก สมุนไพร
กวาวเครือขาว โสม และ ขมี้นชัน สมุนไพรกระตุ้นคอลลาเจน และ ลดสิว

สารไฟโตเอสโตรเจนจาก สมุนไพร จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน กระชับผิวหย่อนคล้อยให้เต่งตึง กระชับ เพิ่มมอยเจอร์ไรเชอร์ธรรมชาติจะช่วยคงความชุ่มชื้น

ทำความสะอาดผิวได้หมดจด โดยไม่ทำให้ผิวแห้ง  อีกทั้งสารต้านแบคทีเรียตามธรรมชาติของขมิ้นชัน ยังช่วยรักษาสิวอีกด้วย ไม่ทำให้สิวอุดตัน

เราสกัดสมุนไพรเอง ทำให้ได้สารสกัดสมุนไพรที่ เข้มข้น ในต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้สบู่สมุนไพรของเราอุดมด้วยสารอาหารต่อผิว ช่วยชะลอความชราของผิว

ส่วนผสม

สารสกัดสมุนไพรเข้มข้น  กวาวเครือขาว โสม และ ขมิ้นชัน น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น


สูตรส่งออก มีลุกค้าต่างชาติใข้ต่อเนี่องมากมาย

ควบคุมการผลิตโดยเภสัชกรสมุนไพร

สบู่สมุนไพรขนาดใหญ่ หนัก 100 กรัม ราคา 150 บาท

ค่าส่งลงทะเบียน 30 บาท
ค่า EMS  50 บาท

ติดต่อ : Line ID : pureherbs , โทร  0891077377  จัดส่งภายใน 24 ชม.

Sunday, January 18, 2015

น้ำมันมะกอก แก้นอนกรน






 "น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน



นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว


เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง.


คอลัมน์ เครื่องแนม / มติชนออนไลน์

Wednesday, September 10, 2014

ภูมิปัญญาชาวบ้าน


** การกำจัดแมลงสาบ **

ในบ้านที่มักจะอยู่ตามครัว ตู้ โต๊ะ หรือตามซอกตามมุมต่างๆ เขาบอกว่าวิธีที่ได้ผลและง่ายแสนง่ายแต่คนมักไม่ทราบหรือคิดไม่ถึง นั่นก็คือใช้ " พริกไทยเม็ด " ไปวางตามจุดต่างๆที่แมลงสาบชอบออกมาไต่ยั้วเยี้ย หรือแอบมากินเศษอาหาร โดยวางไว้ที่ละ 4-5 เม็ดก็พอ แค่นี้แมลงสาบได้กลิ่นก็ไม่มารบกวนแล้ว เพราะมันไม่ถูกกับกลิ่นพริกไทยเม็ด ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เสียเงิน หรือเป็นอันตรายต่อคนในบ้าน พอกลิ่นหมดก็คอยเปลี่ยนใหม่ ข้อสำคัญ ระวังเด็กเล็กในบ้านอย่าคลานไปกินเข้าจะร้องไห้จ้าเพราะความเผ็ด

** กำจัดยุงและแมลงตัวเล็กๆ **

ไม่ให้มารบกวนตอนอ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืน เขาให้ใช้ " การบูร " มาห่อผ้าขาว หรือไปซื้ออย่างที่เขาห่อสำเร็จมาแล้วก็ได้
จากนั้นนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับหลอดไฟ หรือโคมไฟ เพื่อความร้อนจากหลอด หรือโคมจะทำให้กลิ่นการบูรค่อยๆ ระเหิดออกมาอย่างรวยริน ยิ่งกลิ่นออกมามากเท่าใด ยุงและแมลงก็จะบินหนี เพราะมันไม่ชอบกลิ่นการบูร แค่นี้ก็ไม่ต้องจุดยากันยุง หรือทายากันยุงให้เหนอะหนะเหนียวตัว

** ขับไล่หนูชุกชุม **

โดยไม่ต้องฆ่าให้บาปกรรม ด้วยการนำน้ำมันระกำ 10 ส่วน ผสมกับน้ำมันสะระแหน่อีก 90 ส่วนให้เข้ากัน แล้วเอาไปทาตามทางเดินของหนูหรือที่ๆหนูชอบมา มันจะไม่มาอีกเลยเมื่อได้กลิ่นน้ำมันทั้งสองอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรจะเก็บเศษอาหารให้หมด และทำบ้านเรือนให้สะอาดอย่ารกรุงรังเป็นดีที่สุด

** วิธีต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่าย **

การต้มไข่นั้น ดูเป็นเรื่องไม่ยาก แต่เชื่อไหมว่า หากจะต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่ายๆ หลายคนกลับทำไม่ได้ แถมปอกแล้วเนื้อไข่ติดเปลือกทำให้ไม่สวยงามอีก ดังนั้นวิธีง่ายๆที่จะต้มไข่ให้ปอกเปลือกได้ง่าย เขามีเทคนิคพิเศษด้วยการต้มไข่แบบธรรมดานี่แหละ แต่ให้เอา
" เกลือ " ใส่เข้าไปพอสมควรให้น้ำที่ต้มมีความเค็มเล็กน้อย กะว่าไข่สุกดีแล้วก็ให้เอาไข่นั้นแช่ในน้ำเย็นธรรมดา พอไข่ต้มเย็นลงก็จับปอกเปลือกได้ จะรู้สึกเลยว่าเปลือกไข่แกะออกง่าย และล่อนดีไม่ติดเหมือนปกติ ทำให้ปอกไข่ต้มออกมาได้อย่างสวยงามน่ากิน

** ต้มถั่วดำถั่วแดงให้สุกเร็ว **

การต้มถั่วดูเหมือนจะง่ายคล้ายๆกับต้มไข่ แต่จริงๆแล้วใครที่เคยต้มทั้งถั่วดำ ถั่วแดงจะรู้ดีว่ากว่าจะต้มสุกได้ต้องใช้เวลานานมาก จนหลายคนเอือม ไม่คิดอยากกินถั่วอีกเลย หรือไม่ก็ไปซื้อเขาสบายกว่า บางคนก็ใช้วิธีแช่น้ำคืนหนึ่งก่อนนำมาต้ม แต่เขาบอกว่าวิธีที่เร็วและสะดวกกว่าคือ ก่อนนำถั่วไปต้ม ให้เอาไป " คั่ว " ในกะทะให้สุกเสียก่อน เป็นการทำให้สุกครั้งแรกที่ใช้เวลาไม่นาน จากนั้นจึงเอาหม้อใส่น้ำแล้วใส่ถั่วลงไป โดยกะน้ำให้พอดีกับถั่วที่จะต้มแล้วตั้งไฟต้ม คราวนี้แหละถั่วที่ต้มก็จะสุกเร็วขึ้น เมื่อถั่วสุกก็ใส่น้ำตาลลงไป
กะให้หวานพอเหมาะหรือตามแต่ชอบ

** วิธีเก็บขนมปังให้นานวันขึ้น **

โดยมิให้เสีย หรือหมดอายุเร็วเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก ขนมปังที่ซื้อมาแล้ว และเรากินไม่หมดก็ให้ห่อเก็บในพลาสติกเหมือนเดิมนั่นแหละเพียงแต่ให้เอาผ้าขาวสะอาดๆมาห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง จากนั้นให้ผูกด้วยเชือกหรือใช้ยางรัดให้แน่น แล้วไปเก็บไว้ในตู้เย็นตามปกติธรรมดาไม่ต้องไปเข้าช่องแข็ง ทำแบบนี้ขนมปังที่ว่าก็จะมีอายุนานขึ้นโดยไม่เสื่อมสภาพ เมื่อเอาไปย่าง ปิ้ง ทาเนยแยม ก็ยังจะอร่อย และคงความนุ่มไว้เหมือนเดิม

** วิธีหาเสี้ยน หรือหนามที่ตำ ให้เห็นง่ายๆ **

เมื่อเราถูกเสี้ยนหรือหนามตำไม่ว่าที่ไหนก็ตาม บางทีเสี้ยนมีขนาดเล็กและกลมกลืนไปกับสีผิว ทำให้มองไม่เห็นแต่หากไม่เอาออกก็จะระคายเคืองเจ็บปวดไม่หาย เขาบอกว่าวิธีการหาง่ายๆ คือให้ใช้ " ทิงเจอร์ไอโอดีน " แตะบริเวณที่ถูกเสี้ยนหรือหนามตำ สีของทิงเจอร์ฯ จะทำให้เห็นรอยเสี้ยนที่หักคาอยู่อย่างเด่นชัด ทำให้เราจัดการเอาออกได้โดยง่าย อีกทั้งทิงเจอร์ฯยังช่วยรักษาแผลสดได้ดีอีกด้วย

** วิธีบำรุงสายตาด้วยสมุนไพรราคาถูก **

นั่นคือ " ผักบุ้ง " ที่เราส่วนใหญ่รู้ๆ กันอยู่แล้วนี่เอง นอกจากจะกินผักบุ้งเพื่อให้ได้วิตามินเอที่มีมากมายในตัวผักมาบำรุงสายตาแล้ว คนไม่น้อยคงไม่รู้ว่า เราสามารถเอาผักบุ้งไทยมาล้างให้สะอาดแล้วปั่นให้ละเอียด จากนั้นเอาผ้าขาวบางไปต้มฆ่าเชื้อเสียก่อนแล้วผึ่งให้หมาด นำมาปิดไว้ที่หน้าแล้วให้ผักบุ้งไทยปั่นที่ว่ามาโปะบนผ้าขาวบางบริเวณดวงตาทั้งสองข้าง ปล่อยไว้นานพอควรจนรู้สึกว่ามีน้ำจากผักซึมเข้ามาที่ดวงตาที่หลับอยู่ก็เอาออก แล้วหลับตาล้างเปลือกตาให้สะอาด เขาว่าให้ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยสุขภาพของดวงตาให้ดีขึ้น ทำให้สายตาแจ่มใสอยู่เสมอ

** วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง **

นอกเหนือไปจาก "สารส้ม" ที่เขาแนะให้นำมาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แล้ว ก็ยังมีอีกสูตรในการแก้กลิ่นเต่าแรงคือ " ใบตำลึง " กับ " ปูนแดง " โดยให้ตำใบตำลึงให้เละที่สุด แล้วนำมาผสมกับปูนแดงสักก้อนเล็กๆ ผสมให้ทั่วกันดีแล้ว ก็นำมาทาที่รักแร้เพียงบางๆ แล้วปล่อยให้แห้งไปเอง ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้าจะได้ทำงานได้ตลอดวัน โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมารบกวนใครต่อใคร บางคนอาจคิดว่ายุ่งยากลำบาก หาซื้อพวกโรลออนทาง่ายกว่า แต่แนะไว้เผื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล ก็ลองดูวิธีนี้ดูบ้าง

** วิธีป้องกันตะคริวขณะว่ายน้ำ **

มิให้เกิดเป็นตะคริวขึ้นมา ตะคริวหมายถึง อาการที่กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง ชาไปหมด ความรู้สึกเสียไป ถ้าเป็นบนบก ปล่อยให้อยู่นิ่งๆ
ก็จะหายไปเอง แต่ถ้าอยู่ในน้ำหรือกำลังว่ายน้ำอยู่จะอันตรายมาก เพราะทำให้จมน้ำตายได้ วิธีแก้ไขหรือป้องกันมิให้เกิดเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ หรือเล่นน้ำอยู่นั้น เขาให้ดื่มน้ำเกลือ เสียก่อนลงไปว่าย เกลือที่ใช้ก็คือ เกลือแกงในครัวนั่นแหละโดยเอาไปละลายน้ำให้มีรสเค็มพอประมาณ ดื่มเสียให้เรียบร้อยก่อนลงไปดำผุดดำว่ายในน้ำ ทีนี้รับรองไม่เป็นตะคริวแน่นอน

** วิธีแก้อาการโรคบิด **

และไม่มียาแผนปัจจุบัน โรคบิดเป็นโรคทางเดินทางอาหาร เวลาถ่ายจะปวดมวนท้องไส้มาก โรคนี้ส่วนใหญ่ต้องแก้ด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่หากไม่มี ก็ให้เอากระชายาสัก 5 ราก เผาไฟบดให้ละเอียดผสมน้ำ แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ดื่มน้ำนี้สักอึกสองอึก เว้นอีกสักชั่วโมงก็ดื่มอีก ไม่นานก็จะหาย

** วิธีลดอาการไข้ ตัวร้อน **

ตามปกติเราก็กินยาแก้ปวดหัวตัวร้อน อย่างพาราเซตามอล แต่หากไม่มี แล้วเกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ขึ้นมา เขาบอกว่าให้ดื่มน้ำมะพร้าวสัก 1 แก้ว แล้วนอนพักผ่อน อาการไข้ก็จะทุเลาลง แล้วให้ดื่มแทนน้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปกติ

** วิธีแก้แผลในปากที่ทำให้เจ็บแสบ **

น่ารำคาญ เขาบอกวิธีง่ายๆ ที่จะแก้ คือ ให้กินสับปะรด ยิ่งตรงไหนเป็นแผลให้อมไว้ตรงนั้นนานๆ ไม่ช้าไม่นานก็จะหายไปเอง เหมือนหนามหยอกเอาหนามบ่ง ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนจากหนังสือดังกล่าวข้างต้น ที่เป็นเทคนิคหรือความรู้แบบชาวบ้านๆ ที่แม้ว่าโลกจะก้าวไปไกลเพียงไร แต่ใช่ว่าความเจริญเข้าไปถึงหมดทุกแห่ง ดังนั้นภูมิปัญญาเหล่านี้จึงยังมีประโยชน์และคุณค่าอยู่เสมอ ซึ่งคนสมัยปัจจุบันก็ยังสามารถทดลองใช้ได้ ข้อสำคัญส่วนใหญ่มีราคาไม่แพงและทำให้พึ่งตนเองได้ด้วย

Friday, August 15, 2014

 วิธีล้าง (พิษ) ตับระยะสั้น


รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช ได้แนะนำ “วิธีล้าง (พิษ) ตับระยะสั้น” แบบง่ายๆ และได้ผลจริง ไว้ดังนี้

วิธีการ

วันที่ 1 : วันอังคาร  กินอาหารตามปกติจน 15:00 น. จากนั้นดื่มได้แต่น้ำ (ถ้าเป็นน้ำด่างที่เรียก alkaline water) จะดีมาก จะสวนล้างลำไส้หรือไม่ก็ได้ ยากิน  เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น

วันที่ 2 และ 3 : วันพุธและวันพฤหัสบดี งดอาหารทุกชนิด ดื่มได้เฉพาะน้ำผลไม้ที่ไม่มีกากมาก ดีที่สุดคือน้ำแอปเปิ้ลเขียวที่ปั่นแยกกากออกแล้ว วันละ 3 – 5 แก้ว น้ำผลไม้ แนะนำให้เป็นน้ำผลไม้สด ไม่แนะนำน้ำผลไม้บรรจุกล่อง (UHT) ถ้าหาไม่ได้จริงๆ น้ำมะขามเข้มข้น (ซื้อได้จากร้านดอยคำ) นำมาผสมน้ำดื่มก็ได้ ดื่มวันละ 3 – 5 แก้ว เช่นเดียวกัน หลัง 15:00 น. หยุดดื่มน้ำผลไม้ ดื่มน้ำได้ทั้งวัน ถ้าใครสวนล้างลำไส้อยู่แล้วก็ทำตามปกติ ถ้าไม่สวน แนะนำให้กิน ดีเกลือ (MgSO4) 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก ตอนประมาณ 18:00 น.

วันที่ 4 : วันศุกร์  6:00 – 8:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูก ดื่มน้ำผลไม้ได้เช่นเดียวกับวันพุธ และพฤหัส หยุดดื่ม 15:00 น.
18:00 น. และ 20:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก อีก 2 มื้อ
22:00 น. ดื่มน้ำมันมะกอกประมาณ 150 – 200 cc ผสมน้ำมะนาว 150 – 200 cc และเกลือป่นครึ่งช้อนชา เขย่าให้เข้ากันให้มากที่สุด ดื่มให้หมดในเวลา 10 นาที (ส่วนใหญ่ 1 นาทีก็หมดแล้ว) แนะนำให้แช่เย็นเล็กน้อย ใส่แก้วใหญ่ๆ ดื่มติดต่อกันให้หมดในคราวเดียว การจิบทีละน้อยมักไม่สำเร็จ (ใช้มะขามเปียกคลุกเกลือป่นมาป้ายลิ้นก่อนและหลังดื่มน้ำมันมะกอกจะช่วยลดความคลื่นไส้ ได้ดี)
ขั้นตอนการดื่มน้ำมันมะกอกนี้สำคัญที่สุดในขบวนการนี้ ถ้าอาเจียน การที่เราพยายามเตรียมร่างกายมาหลายวันจะเปล่าประโยชน์ เราต้องกลั้นอาเจียนจนถึง 2:00 น. (4 ชม. หลังดื่มน้ำมันมะกอก) ถ้าจะนอนให้สบาย ให้นอนยกศีรษะสูง และตะแคงขวา อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้องข้างขวาส่วนบน หรือใต้ชายโครงซึ่งเป็นตำแหน่งของตับด้วยก็ได้

วันที่ 5 : วันเสาร์ 6:00 – 8:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก เมื่อถ่ายอุจจาระให้สังเกตอุจจาระที่ถ่ายออกมา (ซึ่งเราเชื่อว่าจากการอดอาหารมาหลายวัน บวกกับการกินดีเกลือ (หรือสวนล้างลำไส้) ด้วย ไม่น่าจะมีอุจจาระตกค้างในสำไส้ของเราอีกแล้ว) ทุกสิ่งที่เราขับถ่ายออกมากน่าจะมาจากระบบท่อน้ำดี ในตับ, นอกตับ และถุงน้ำดี สิ่งที่พวกเราเคยได้เห็นกันมีทั้งไขมัน, ตะกอนน้ำดี (bile salt) ไปจนถึงนิ่ว (stone) จากถุงน้ำดี ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นเหม็น กว่าอุจจาระปกติ ตลอดวันเสาร์ และอาทิตย์ อาจมีการถ่ายอุจจาระอีกหลายครั้งขึ้นอยู่กับการทำงานของลำไส้ในแต่ละคน ตั้งแต่ 12:00 น. ของวันเสาร์เริ่มกินอาหารได้ แนะนำอาหารอ่อนย่อยง่าย และร้อนๆ

ประโยชน์

- ช่วยลดน้ำหนัก เพราะหนึ่งในขั้นตอนการล้างพิษตับนั้นคือต้องอดอาหาร
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น เพราะตับสะอาดขึ้น
- ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง
- ช่วยบรรเทาความรุนแรงของหวัด หรืออาการภูมิแพ้
- เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยลดการสะสมของไขมันที่พอกตับ และลดการเกาะตัวของไขมันที่บริเวณผนังหลอดเลือด
- ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง
- ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น ปกป้องตับจากการทำเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง
** เพื่อสุขภาพที่ดีควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายควบคู่กันด้วย **

ไทรอยด์เป็นพิษ


ไทรอยด์เป็นพิษ รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

ในทางแพทย์แผนโบราณตำราจีนและไทย กล่าวว่าไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากการกินที่ไม่สมดุล กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากกว่าฤทธิ์เย็น หรือหยินหยางไม่สมดุล จึงทำให้ภายในร่างกายร้อนเกิน จนกระทั่งการทำงานของต่อมไทรอยด์...ผิดปรกติ

วิธีธรรมชาติบำบัดที่จะช่วยรักษาไทรอยด์ที่ผสมทั้งแผนจีนแผนไทยคือ “การแกว่งแขน” หรือการออกกำลังกายโดยการแกว่งแขนเป็นประจำวันละ 20 นาทีเป็นอย่างต่ำ

*ชีวอโรคยา จะนำรายละเอียดเรื่องการแกว่งแขนรักษาโรคมาเสนอในโอกาสต่อไป

และกินสมุนไพรที่จะช่วยรักษาได้คือ “น้ำใบย่านาง” ให้คั้นใบย่านางต้มกินแทนน้ำเปล่า ปัจจุบันมีหัวน้ำใบย่านางสกัดขายตามร้านขายของเพื่อสุขภาพทั่วไป นำไปผสมน้ำดื่มได้เลย รสชาติไม่แตกต่างจากน้ำเปล่าและยังมีกลิ่นหอมชื่นใจอีกด้วย

นอกจากนั้นให้ปรับนิสัยการกิน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็นแทน เช่นงดเนื้อสัตว์ แต่ยังกินปลาได้เช่นปลานึ่งทาเกลือเพื่อเสริมไอโอดีน กินผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม สัปปะรด แอปเปิลฯลฯ กินข้าวกับผักลวกปลานึ่ง โดยให้เน้นผักฤทธิ์เย็น (เสิร์จกูเกิลหาชื่อของผัก-ผลไม้ฤทธิ์เย็นได้เลย)

ผู้มีประสบการณ์ป่วยเป็นไทรอยด์ เล่าว่า ทำตามคำแนะนำนี้ ค่าไทรอยด์ลดลง 50% ภายใน 2 สัปดาห์ และหายเป็นปรกติภายใน 3-4 เดือน แต่ต้องกินน้ำย่านางไปตลอดเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย

*****************************************

บทความเรื่อง “ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ภัยเงียบถึงขั้นหัวใจล้มเหลว

อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หิวบ่อย ทานจุ น้ำหนักลดฮวบแม้ทานอาหารมากขึ้น ขี้ร้อน หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง คอมีขนาดโตขึ้น ตาโปน หากใครกำลังมีอาการดังกล่าวมาพึงระวัง เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานผิดปกติ ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากชะล่าใจปล่อยอาการทิ้งไว้ไม่รีบรักษา ก็อาจเสี่ยงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว หรือบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

นายแพทย์ณัฐนนท์ มณีเสถียร อายุรแพทย์ด้านต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า “ไทรอยด์” เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นต่อมที่มีลักษณะคล้ายผีเสื้ออยู่บริเวณด้านหน้าหลอดลม ใต้ลูกกระเดือก มีขนาดประมาณ 15-30 กรัม เคลื่อนที่ขึ้นลงตามการกลืน โดยฮอร์โมนไทรอยด์นั้นจะทำหน้าที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และมีผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งสภาพอารมณ์ จิตใจ การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ รวมทั้งการเจริญเติบโต สติปัญญา และพัฒนาการในเด็ก หากไทรอยด์ฮอร์โมนมีการทำงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานเร็วมากผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้คนไข้มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว หิวง่ายทานจุแต่น้ำหนักลดเร็ว โดยเราจะเรียกภาวะการทำงานผิดปกติชนิดนี้ว่า “โรคไทรอยด์เป็นพิษ”

สำหรับสาเหตุหลักของโรคนี้ก็เกิดจากร่างกายของคนเราสร้างภูมิคุ้มกันไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานมากขึ้น หรือที่เรียกว่า โรค Grave’s Disease ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็อาจเกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ หรือการได้รับฮอร์โมนไทรอยด์จากแหล่งอื่น เช่น รับประทานยา หรืออาหารที่มีฮอร์โมนไทรอยด์เป็นองค์ประกอบ หรือจากเนื้องอกไทรอยด์ชนิดเป็นพิษ (Toxic nodular goiter) เป็นต้น ในปัจจุบันพบว่าคนไทยร้อยละ 1-3 คน ป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ โดยพบในเพศหญิงมากกว่าชาย

สำหรับวิธีการรักษาโดยทั่วไปทำได้ 3 วิธี คือ การรับประทานยาเพื่อลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งผู้ป่วยมักต้องทานยาต่อเนื่องประมาณ 24-36 เดือน วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยอายุน้อย เป็นโรคมาไม่นาน ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตไม่มาก หรือผู้ป่วยที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น มีโรคประจำตัวหลายโรค การรับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เป็นโรคมานาน ผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำหลังรับประทานยาครบตามกำหนด ผู้ป่วยที่แพ้ยาต้านไทรอยด์แบบรุนแรง การผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมาก มีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียงจากต่อมไทรอยด์ เช่น กลืนลำบาก หายใจลำบาก หรือผู้ป่วยที่สงสัยอาจมีมะเร็งต่อมไทรอยด์ร่วมด้วย รวมทั้งผู้ป่วยที่มีอาการทางตาจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นรุนแรง (Severe Grave’s Ophthalmopathy)

สำหรับภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบ จะมีอาการไทรอยด์เป็นพิษเพียงชั่วคราว จึงไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านฮอร์โมน การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การรับประทานยาลดอาการใจสั่น กรณีที่มีใจสั่น มือสั่น หรือยาลดอาการปวดถ้ามีอาการปวดบริเวณต่อมไทรอยด์เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีภาวะการทำงานผิดปกติอีกชนิดหนึ่งของต่อมไทรอยด์ ที่พบว่ามีอาการตรงกันข้ามกับโรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ “ไทรอยด์ทำงานต่ำเกินไป” ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาได้น้อยกว่าปกติ ทำให้มีการเผาผลาญในร่างกายน้อยลงผิดปกติ ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย อ่อนเพลีย เชื่องช้า รู้สึกง่วงนอน เฉื่อยชาไม่กระฉับกระเฉง ขี้ลืม ประจำเดือนมามากผิดปกติ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เสียงแหบ ผิวแห้ง ใบหน้าเปลือกตาหรือมือเท้าบวม ซึมเศร้า ชีพจรเต้นช้า ถ้าเป็นมากอาจพบภาวะหัวใจวาย น้ำท่วมปอด และช่องเยื่อหุ้มหัวใจส่วนในเด็กเล็กจะมีพัฒนาการช้า ตัวเตี้ย และสติปัญญาต่ำได้ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งการทำงานของไทรอยด์ทำให้ไทรอยด์ทำงานน้อยลง สาเหตุอื่นที่พบได้แก่ การขาดสารไอโอดีน การอักเสบเรื้อรังของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ การได้รับยาต้านไทรอยด์มากเกินไป การกลืนน้ำแร่รังสีไอโอดีน และโรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิด ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า

คุณหมอแนะนำว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกตินั้นควรงดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้อาการทางตารุนแรงมากขึ้น เช่น ตาโปนขึ้น ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มบำรุงกำลังหรือกาเฟอีน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้น ควรงดออกกำลังกายหนักในช่วงแรกของการรักษา โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาและทำให้รักษาหายยากขึ้น ในกรณีที่รักษาหายขาดแล้วควรมีการติดตามระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำ หรือเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำได้ ผู้ป่วยที่วางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการได้รับยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์บางชนิด (Methimazole) ในหญิงตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือการรักษาบางวิธี เช่น รับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน อาจก่อให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ ยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ผื่นคัน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดข้อ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือเม็ดเลือดขาวต่ำได้ ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวหรือมีไข้เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที

อย่างไรก็ตาม เราควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นสังเกตร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และถ้าพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้ำหนักลด ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณที่เตือนเราได้ว่าตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานไม่ปกติ คุณหมอณัฐนนท์ฝากทิ้งท้าย

เครดิต: รักษาไทรอยด์ด้วยธรรมชาติบำบัด จาก WWW.CUREBYNATURE.ORG
 
บทความ “ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ภัยเงียบถึงขั้นหัวใจล้มเหลว” จาก ไทยโพสต์

 
Photo: ไทรอยด์เป็นพิษ รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด
ในทางแพทย์แผนโบราณตำราจีนและไทย กล่าวว่าไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากการกินที่ไม่สมดุล กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากกว่าฤทธิ์เย็น หรือหยินหยางไม่สมดุล จึงทำให้ภายในร่างกายร้อนเกิน จนกระทั่งการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปรกติ 

วิธีธรรมชาติบำบัดที่จะช่วยรักษาไทรอยด์ที่ผสมทั้งแผนจีนแผนไทยคือ “การแกว่งแขน” หรือการออกกำลังกายโดยการแกว่งแขนเป็นประจำวันละ 20 นาทีเป็นอย่างต่ำ 

*ชีวอโรคยา จะนำรายละเอียดเรื่องการแกว่งแขนรักษาโรคมาเสนอในโอกาสต่อไป 

และกินสมุนไพรที่จะช่วยรักษาได้คือ “น้ำใบย่านาง” ให้คั้นใบย่านางต้มกินแทนน้ำเปล่า ปัจจุบันมีหัวน้ำใบย่านางสกัดขายตามร้านขายของเพื่อสุขภาพทั่วไป นำไปผสมน้ำดื่มได้เลย รสชาติไม่แตกต่างจากน้ำเปล่าและยังมีกลิ่นหอมชื่นใจอีกด้วย

นอกจากนั้นให้ปรับนิสัยการกิน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็นแทน เช่นงดเนื้อสัตว์ แต่ยังกินปลาได้เช่นปลานึ่งทาเกลือเพื่อเสริมไอโอดีน กินผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม สัปปะรด แอปเปิลฯลฯ กินข้าวกับผักลวกปลานึ่ง โดยให้เน้นผักฤทธิ์เย็น (เสิร์จกูเกิลหาชื่อของผัก-ผลไม้ฤทธิ์เย็นได้เลย)

ผู้มีประสบการณ์ป่วยเป็นไทรอยด์ เล่าว่า ทำตามคำแนะนำนี้ ค่าไทรอยด์ลดลง 50% ภายใน 2 สัปดาห์ และหายเป็นปรกติภายใน 3-4 เดือน แต่ต้องกินน้ำย่านางไปตลอดเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย
*****************************************

บทความเรื่อง “ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ภัยเงียบถึงขั้นหัวใจล้มเหลว”

อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หิวบ่อย ทานจุ น้ำหนักลดฮวบแม้ทานอาหารมากขึ้น ขี้ร้อน หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง คอมีขนาดโตขึ้น ตาโปน หากใครกำลังมีอาการดังกล่าวมาพึงระวัง เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานผิดปกติ ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากชะล่าใจปล่อยอาการทิ้งไว้ไม่รีบรักษา ก็อาจเสี่ยงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว หรือบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

นายแพทย์ณัฐนนท์ มณีเสถียร อายุรแพทย์ด้านต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า “ไทรอยด์” เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นต่อมที่มีลักษณะคล้ายผีเสื้ออยู่บริเวณด้านหน้าหลอดลม ใต้ลูกกระเดือก มีขนาดประมาณ 15-30 กรัม เคลื่อนที่ขึ้นลงตามการกลืน โดยฮอร์โมนไทรอยด์นั้นจะทำหน้าที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และมีผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งสภาพอารมณ์ จิตใจ การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ รวมทั้งการเจริญเติบโต สติปัญญา และพัฒนาการในเด็ก หากไทรอยด์ฮอร์โมนมีการทำงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานเร็วมากผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้คนไข้มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว หิวง่ายทานจุแต่น้ำหนักลดเร็ว โดยเราจะเรียกภาวะการทำงานผิดปกติชนิดนี้ว่า “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” 

สำหรับสาเหตุหลักของโรคนี้ก็เกิดจากร่างกายของคนเราสร้างภูมิคุ้มกันไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานมากขึ้น หรือที่เรียกว่า โรค Grave’s Disease ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็อาจเกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ หรือการได้รับฮอร์โมนไทรอยด์จากแหล่งอื่น เช่น รับประทานยา หรืออาหารที่มีฮอร์โมนไทรอยด์เป็นองค์ประกอบ หรือจากเนื้องอกไทรอยด์ชนิดเป็นพิษ (Toxic nodular goiter) เป็นต้น ในปัจจุบันพบว่าคนไทยร้อยละ 1-3 คน ป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ โดยพบในเพศหญิงมากกว่าชาย

สำหรับวิธีการรักษาโดยทั่วไปทำได้ 3 วิธี คือ การรับประทานยาเพื่อลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งผู้ป่วยมักต้องทานยาต่อเนื่องประมาณ 24-36 เดือน วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยอายุน้อย เป็นโรคมาไม่นาน ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตไม่มาก หรือผู้ป่วยที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น มีโรคประจำตัวหลายโรค การรับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เป็นโรคมานาน ผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำหลังรับประทานยาครบตามกำหนด ผู้ป่วยที่แพ้ยาต้านไทรอยด์แบบรุนแรง การผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมาก มีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียงจากต่อมไทรอยด์ เช่น กลืนลำบาก หายใจลำบาก หรือผู้ป่วยที่สงสัยอาจมีมะเร็งต่อมไทรอยด์ร่วมด้วย รวมทั้งผู้ป่วยที่มีอาการทางตาจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นรุนแรง (Severe Grave’s Ophthalmopathy) 

สำหรับภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบ จะมีอาการไทรอยด์เป็นพิษเพียงชั่วคราว จึงไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านฮอร์โมน การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การรับประทานยาลดอาการใจสั่น กรณีที่มีใจสั่น มือสั่น หรือยาลดอาการปวดถ้ามีอาการปวดบริเวณต่อมไทรอยด์เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีภาวะการทำงานผิดปกติอีกชนิดหนึ่งของต่อมไทรอยด์ ที่พบว่ามีอาการตรงกันข้ามกับโรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ “ไทรอยด์ทำงานต่ำเกินไป” ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาได้น้อยกว่าปกติ ทำให้มีการเผาผลาญในร่างกายน้อยลงผิดปกติ ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย อ่อนเพลีย เชื่องช้า รู้สึกง่วงนอน เฉื่อยชาไม่กระฉับกระเฉง ขี้ลืม ประจำเดือนมามากผิดปกติ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เสียงแหบ ผิวแห้ง ใบหน้าเปลือกตาหรือมือเท้าบวม ซึมเศร้า ชีพจรเต้นช้า ถ้าเป็นมากอาจพบภาวะหัวใจวาย น้ำท่วมปอด และช่องเยื่อหุ้มหัวใจส่วนในเด็กเล็กจะมีพัฒนาการช้า ตัวเตี้ย และสติปัญญาต่ำได้ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งการทำงานของไทรอยด์ทำให้ไทรอยด์ทำงานน้อยลง สาเหตุอื่นที่พบได้แก่ การขาดสารไอโอดีน การอักเสบเรื้อรังของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ การได้รับยาต้านไทรอยด์มากเกินไป การกลืนน้ำแร่รังสีไอโอดีน และโรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิด ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า

คุณหมอแนะนำว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกตินั้นควรงดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้อาการทางตารุนแรงมากขึ้น เช่น ตาโปนขึ้น ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มบำรุงกำลังหรือกาเฟอีน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้น ควรงดออกกำลังกายหนักในช่วงแรกของการรักษา โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาและทำให้รักษาหายยากขึ้น ในกรณีที่รักษาหายขาดแล้วควรมีการติดตามระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำ หรือเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำได้ ผู้ป่วยที่วางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการได้รับยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์บางชนิด (Methimazole) ในหญิงตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือการรักษาบางวิธี เช่น รับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน อาจก่อให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ ยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ผื่นคัน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดข้อ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือเม็ดเลือดขาวต่ำได้ ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวหรือมีไข้เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที

อย่างไรก็ตาม เราควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นสังเกตร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และถ้าพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้ำหนักลด ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณที่เตือนเราได้ว่าตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานไม่ปกติ คุณหมอณัฐนนท์ฝากทิ้งท้าย

เครดิต: รักษาไทรอยด์ด้วยธรรมชาติบำบัด จาก WWW.CUREBYNATURE.ORG 
บทความ “ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ภัยเงียบถึงขั้นหัวใจล้มเหลว” จาก ไทยโพสต์
ภาพ: อินเตอร์เน็ต  
*****************************************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772