Wednesday, May 29, 2013

วิธีลดฝ้าและกระ

หัวผักกาด หรือ หัวไชเท้า (White Radish)

หัวไชเท้าเป็นแหล่งวิตามิน C, Iron, Potassium, Copper, วิตามิน B6, Folate, Calcium, Magnesium,  Phosphorus

นำหัวไชเท้า 1 หัว มาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นบาง ๆ นำไปปั่นให้พอละเอียด ห่อผ้าแล้วคั้นเอาแต่น้ำ

นำน้ำคั้นหัวไชเท้า เทลงบนสำลีแผ่น พอกทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้ว ทาครีมบำรุงผิวต่อเลย  (ไม่ต้องล้างออกด้วยน้ำ)

หรีอใช้น้ำคั้นหัวไชเท้า ทาทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้ว ทาครีมบำรุงผิวต่อเลย  (ไม่ต้องล้างออกด้วยน้ำ) ทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้าและกระให้จางลง ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง

ครั้งแรก อาจแสบผิวเนื่องจากกรดวิตามิน C  อาจเจือจางด้วยน้ำนิดหน่อย หรีอ ผสมน้ำผึ้ง ครั้งต่อไปอาการแสบผิวลดลง หรือ ไม่เป็นอีก  

น้ำคั้นหัวไชเท้าที่เหลือ แชช่องแข็ง เก็บได้ 3-5 วัน ทาทุกวัน

ฝ้ากระค่อยๆจางลงจริงๆค่ะ ลองมาแล้ว




------------------------------------------------------
บทความนี้ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่โดยเว็บไซต์ http://easydtox.blogspot.com/ 
ท่านสามารถเผยแพร่ไปยังเว็บไซต์อื่นๆได้ แต่ต้องไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์  และห้ามตัดต่อ เรียบเรียง เนื้อหาในบทความนี้ใหม่โดยเด็ดขาด การนำบทความนี้ไปใช้ กรุณาสร้าง Link อ้างอิงกลับมายังบทความนี้ด้วย ขอบคุณค่ะ

Monday, May 27, 2013

มะละกอดิบต้มน้ำชงชา ล้างไขมันในลำไส้

ชามะละกอ (มะละกอดิบต้มน้ำชงชา) ล้างไขมันในลำไส้

ชามะละกอ คือการนำเอามะละกอดิบมาปอกเปลือก แล้วหั่นเนื้อมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ ต้มให้เดือด แล้วตักเนื้อมะละกอไป เอาเฉพาะน้ำมาใช้ชงชาเพื่อดื่มแทนชาทั่วไป

เมื่อดื่มชามะละกอ จะเป็นการล้างลำไส้โดยไม่ต้องสวนทวาร ช่วยล้างระบบดูดซึม คือล้างคราบไขมันที่ผนังสำไส้ อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประ...จำ คราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียว จึงเกิดอาการขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดููดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็จะได้แค่อิ่ม แต่ไม่ได้สารอาหาร เป็นเป็นอย่างนี้ นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน

เมื่อร่างกายปกติ ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่ค้างอยู่ที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี

สูตรชามะละกอ

- มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งลูก
- ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง

วิธีทำ

ปอกเปลือกมะละกอล้างให้สะอาด แล้วหั่้นแบบชิ้นฟัก ไม่ถึงครึ่งลูก (ประมาณ 3 กำมือ) ใส่ลงไปหม้อเติมน้ำ 3 ลิตร ตั้งไฟ จะเติมดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตย ก็ใส่ลงไปพร้อมกับมะละกอดิบ พอน้ำเริ่มเดือดได้สัก 3 นาที ก็ยกลงได้ อย่าต้มมะละกอจนเนื้อเละต่อไปก็ตักน้ำมะละกอและดอกเก๊กฮวยออกให้เหลือแต่น้ำ เอาน้ำร้อนที่เหลือทั้งหมดนั้นไปชงชา ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ มากหรือน้อยตามความต้องการ (ห้ามแช่ใบชานานเกิน 3 นาที เพราะถ้าเกิน 3 นาที สารแทนนินของใบชาจะออกมาจากใบชา กินแล้วทำให้ท้องผูก นอนไม่หลับ) แล้วกรองใบชาทิ้งไปทั้งหมด ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก็ดื่มได้เลย หรือจะบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ เก็บได้ประมาณ 3 วัน

สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชาทำให้ช่วยย่อยไขมันและล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ (เด็ก ผู้ใหญ่ดื่มได้ ไม่ต้องสงสัยรอโทรถามใคร)

ถ้าไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเหมือนกินข้าวไม่ล้างจานแล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้าง เอามาใส่ข้าวกินใหม่
เมื่อล้างลำไส้แล้ว ก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อไปบำรุงร่างกายด้วย ถ้าหลีกเลี่ยงอาหารผัดน้ำมันไม่ค่อยได้ ก็กินเท่าที่จำเป็น คือ กินให้น้อยลง แล้วกินชามะละกอไปล้างลำไส้ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง

การทำชามะละกอกินเพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์ที่จริงแล้วไม่ควรเติมน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่น เรากินข้าวขาหมู แล้วกินของหวานหรือชาที่เติมน้ำตาล มันจะทำให้ไขมันกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้ หรือมือไหนที่เรากินไขมัน เช่น เนื้อติดมัน ก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป ควรกินกระเทียมเป็นตัวลดโคเลสเตอรอล แล้วกลับมาบ้านเราก็กินชามะละกอ เพื่อล้างไขมันในลำไส้ออกไป

น้ำมะพร้าวอ่อน

Source: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า หญิงที่มีประจำเดือนเมื่อดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน  จะทำให้ประจำเดือนหยุดไปหรือกลายเป็นประจำเดือนกะปริดกะปรอยและทำให้มีประจำเดือนครั้งต่อไปล่าช้ากว่าปกติ และคนสมัยก่อนมักแนะนำให้สตรีวัยทองดื่มน้ำมะพร้าว เพื่อลดอาการวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน ในเรื่องนี้มีนักวิจัยไทย จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ (ม.อ.) ได้ทำการทดลองหาว่าในน้ำมะพร้าวอ่อนจะมีฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนอยู่หรือไม่  และได้ศึกษาวิจัย เรื่องผลของน้ำมะพร้าวอ่อนต่อการชะลอการเกิดพยาธิสภาพโรคอัลไซเมอร์    โดยได้ทำการทดลองในหนูขาวเพศเมีย อายุ 4 เดือน ที่ถูกตัดรังไข่ออกและแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้น้ำมะพร้าวปริมาณ 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มไม่ให้น้ำมะพร้าวทำเช่นนี้เป็นเวลา 5 สัปดาห์ จากนั้นนำหนูขาวไปผ่าสมองเพื่อตรวจสอบระดับเซลล์ประสาท ผลการตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าว นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนมีผลทำให้การสมานแผลเร็วขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรอยแผลเป็นอีกด้วย ขนจะนุ่มและผิวจะขาวใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   จากการทดลองพบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง และมีส่วนช่วยลดพยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์ได้   ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเอสโตรเจนอาจมีบทบาทที่สำคัญมาก ต่อระบบประสาทส่วนกลาง  โดยอาจไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์ประสาท 

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าในการทดลองนี้มีการให้น้ำมะพร้าวอ่อนกับหนูทดลองในขนาดที่มาก คือให้น้ำมะพร้าวอ่อน 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน  ดังนั้นถ้าเทียบกับในคน เช่นคนที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมจะมิต้องใช้น้ำมะพร้าวอ่อน 5000 มิลลิลิตร หรือ 5 ลิตรต่อวันเชียวหรือ  และน้ำมะพร้าวนั้นมีไฟโตรเอสโตรเจน ซึ่งไม่ใช่เอสโตรเจน

นอกจากน้ำมะพร้าวอ่อนแล้วยังมีพืชอีกหลายชนิดที่มีฮอร์โมน ที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน( Phytoestrogen) ซึ่งมีสูตรโครงสร้างหรือสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ซึ่งจากการสังเกตการใช้ทางพื้นบ้าน และการสังเกตผลการรับประทานสมุนไพรในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มน้ำนมให้กับสตรีหลังคลอดบุตร หรือประชาชนในประเทศจีนที่รับประทานพืชบางชนิดแล้วสามารถคุมกำเนิดได้ หรือสังเกตจากสตรีที่รับประทานพืชบางชนิดแล้วทำให้สตรีนั้นเป็นหมัน หรือในประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชากรมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมากต่ำ คาดว่าเนื่องมาจาก การที่คนญี่ปุ่นได้รับไฟโตรเอสโตรเจนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอยู่เป็นประจำ เมื่อเปรียบเทียบการบริโภคอาหารถั่วเหลืองนั้น ประมาณกันไว้ว่าการได้รับผลิตภัณฑ์อาหารถั่วเหลืองในคนญี่ปุ่นได้รับสูงสุดคือ เป็น isoflavones 200  มิลลิกรัม/วัน ส่วนคนเอเชียอื่น ๆ ได้รับ 25-45 มิลลิกรัม/วันและประเทศทางตะวันตกได้รับน้อยกว่า   5 มิลลิกรัม/วัน รวมทั้งอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนระหว่างชาวฟินแลนด์ อเมริกัน และญี่ปุ่น พบว่าคนญี่ปุ่นซึ่งมีการขับถ่ายไฟโตรเอสโตรเจนออกมาในปริมาณมากที่สุดทางปัสสาวะนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่ำสุด  ซึ่งแง่มุมเหล่านี้ทำให้มีการศึกษาเกี่ยวกับสารประกอบในพืชที่มีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจนคือสามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ของผนังมดลูก รังไข่ และเต้านม โดยทำให้เยื่อบุผนังช่องคลอดนาขึ้น หรือกระตุ้นการทำงานของเยื่อบุปากมดลูกให้มีการหลั่งเมือกที่ปากมดลูกมากขึ้น หรือเพิ่มการเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อที่มดลูกหนาขึ้น หรือมีผลต่อการเจริญเติบโตของต่อมน้ำนมที่เต้านม

ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen)

ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen)

สารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน

ไฟโตรเอสโตรเจนนี้ประกอบไปด้วยสารหลายกลุ่มเช่น

  • สารกลุ่ม isoflavone สารกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงมาก เนื่องจากสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ และสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์( estrogen receptor )ได้มีสารกลุ่มนี้ได้แก่ genistein ที่พบในถั่วเหลือง ถั่วเขียว หญ้าแพรก alfalfa ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบัน daidzein พบในถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ เมล็ด alfalfa, miroestrol พบในกวาวเครือ Chandalone และ osajin พบในเถาวัลย์เปรียง Formononetin พบในชะเอมเทศ
  • สารกลุ่ม terpene สารกลุ่มนี้แสดงฤทธิ์เป็น estrogenic activity ได้แก่สารในกลุ่ม triterpenoid saponin ได้แก่ asiaticoside ในใบบัวบก emarginatoside B และ C จากผลมะคำดีควาย ursolic acid พบในพืชทั่วไปและพบมากในผลคัดเค้า  
  • สารกลุ่ม lignan สารกลุ่มนี้ที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศคือ enterolactone และ Enterodiol จะพบมากในเส้นใยในพืช ดังนั้น สตรีวัยใกล้หมดประจำเดือนจะถูกแนะนำให้รับประทานผักหรือพืชที่มีเส้นใยมาก เนื่องจากมีสารดังกล่าวที่แสดงฤทธิ์เป็น estrogenic effect นั่นเอง 
  
ไฟโตรเอสโตรเจนและโรคมะเร็ง

ประชากรในภูมิภาคเอเซียและยุโรปตะวันออกพบการเกิด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่  มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และรวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ น้อยกว่าทางประเทศแถบตะวันตกมาก ทางระบาดวิทยาพบว่าไฟโตรเอสโตรเจนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการป้องกันภาวะเหล่านี้ในคนเอเซียโดย เฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคถั่วเหลือง   รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากถั่วเหลือง เป็นประจำซึ่งเป็นแหล่งหลักของ   isoflavones คนญี่ปุ่นซึ่งรับประทานอาหารประเภทนี้มาก   พบว่าพบอุบัติการของมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนน้อยที่สุด   ในขณะที่คนญี่ปุ่น ซึ่งอพยพออกจากประเทศแล้วดำเนินวิถีชีวิตแบบชาวตะวันตก พบว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น  จากการศึกษาพบว่าไฟโตรเอสโตรเจนสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งของมะเร็งเต้านมได้ 18-20%   มะเร็งลำไส้ใหญ่15-30 %
  จากรายงานการวิจัยกล่าวว่าผลของไฟโตรเอสโตรเจนที่เกี่ยวกับเซลล์มะเร็ง อาจแยกได้เป็น 2 แง่ คือ จากการแสดงฤทธิ์เป็น เอสโตรเจน และจากฤทธิ์ antioxidant ของสาร  ฤทธิ์ในลักษณะเอสโตรเจนของไฟโตรเอสโตรเจนเกิดขึ้นได้เนื่องจากสารเหล่านี้มีสูตรโครงสร้างบางส่วนคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิง estradiol  และถึงแม้ว่าสารกลุ่มนี้จะจับกับreceptor  ซึ่งคือตัวจับกับตัวรับของเอสโตรเจนของเซลล์ได้ไม่ดีเท่า estradiol เอง  นอกจากนี้การจับกันดังกล่าวก็สามารถทำให้เกิดการตอบสนองในเซลมะเร็งต่างๆ กันไปได้ทั้งในลักษณะที่เหมือนกับผลของเอสโตรเจนเองหรือเป็นในทางตรงกันข้าม    ที่ระดับความเข้มข้นต่ำๆไฟโตรเอสโตรเจนบางตัวสามารถแสดงฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจนโดยกระตุ้นการเจริญของเซลล์   แต่ขณะเดียวกัน ที่ความเข้มข้นสูงขึ้น ไฟโตรเอสโตรเจนชนิดเดียวกันนั้นลับแสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์แทน(anti-estrogen)  ลักษณะของปรากฏการณ์ที่เป็น biphasic เช่นนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก และอาจจะเกี่ยวข้องกับศักยภาพของ ไฟโตรเอสโตรเจนเหล่านี้ในการแสดงฤทธิ์ที่ขึ้นกับตัวแปรหลายๆ อย่างได้ที่ความเข้มข้นต่ำ แต่ที่ความเข้มข้นสูงกลับแสดงฤทธิ์โดยใช้กลไกคนละแบบกับเอสโตรเจน  บางรายงานกล่าวว่าไฟโตเอสโตรเจนที่ได้หลังการรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณปกติ ไฟโตเอสโตรเจนจะแย่งจับ Estrogen Receptor กับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย(anti-estrogen)   และช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ที่ถูกกระตุ้นด้วยได้ด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นไฟโตเอสโตรเจนจึงอาจจะลดหรือยับยั้งฤทธิ์ของเอสโตรเจนที่มีต่อเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อเอสโตรเจน เช่น เนื้อเยื่อเต้านม เป็นต้น ซึ่งทำให้ไฟโตเอสโตรเจนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้
  
เช่นเดียวกับงานวิจัยต่างๆที่ยังไม่มีผลสรุปที่แน่นอน อาจเนื่องจากในการวิจัยนั้นมีประชากรที่ใช้ในการวิจัยไม่มากพอ  หรืออาจเกิดจากเชื้อชาติที่ต่างกัน  สิ่งแวดล้อมอื่นๆที่แตกต่างกัน  หรือวิธีการทดลองที่แตกต่างกันจึงทำให้ผลลัพธ์ของนักวิจัยแต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไป      ในเรื่องไฟโตเอสโตรเจนนี้ก็เช่นเดียวกัน นักวิจัยก็ยังมีความเห็นที่เหมือนกันและต่างกัน  ที่ยอมรับกันทั่วไปก็คือไฟโตรเอสโตรเจนตัวเดียวกันจะมีฤทธิ์ที่ทั้งคล้ายกับเอสโตรเจน และฤทธิ์ต้านเอสโตรเจน(anti-estrogenic effect)   ส่วนความเห็นที่ยังขัดแย้งกันคือไฟโตรเอสโตรเจนนี้จะมีผลเช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกอย่างหรือไม่ เพราะหากไฟโตรเอสโตรเจนมีผลที่เหมือนกับเอสโตรเจนทุกอย่างก็จะมีผลที่ไม่ดีต่อมะเร็งบางชนิดที่ไวต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน  เช่น มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งมดลูก  แต่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ก็ยอมรับว่าไฟโตรเอสโตรเจนในระดับที่สูงจะมีฤทธิ์ที่ขัดขวางการทำงานของเอสโตรเจนได้ ซึ่งจะทำให้มีผลดีต่อมะเร็งที่เอสโตรเจนเป็นตัวกระตุ้นในการทำให้เกิดมะเร็งพวกนี้  แต่ก็ให้เหตุผลไม่ได้ว่าเหตุใดไฟโตรเอสโตรเจนที่ระดับความเข้มข้นต่างกันจึงให้ฤทธิ์ที่แตกต่างตรงข้ามกัน
  
ผู้เขียนมีความเห็นในเรื่องนี้ว่า ไฟโตรเอสโตรเจนนั้นน่าจะมีฤทธิ์ที่คล้ายกับเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน(anti-estrogenic effect)โดยตรง  เพียงแต่การที่ไฟโตรเอสโตรเจนนั้นมีโครงสร้างที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงไปแย่งที่กับเอสโตรเจนที่จะไปจับกับตัวรับเอสโตรเจน( estrogen receptor)ในเซลล์  แต่การออกฤทธิ์ของไฟโตรเอสโตรเจนนี้จะไม่เหมือนกับเอสโตรเจนไปทั้งหมดทีเดียว ในหญิงที่ร่างกายมีเอสโตรเจนไม่เพียงพอ ไฟโตรเอสโตรเจนนี้จะทำหน้าที่คล้ายเอสโตรเจนโดยจะไปเสริมในส่วนที่ยังขาด จึงมีผลช่วยบรรเทาอาการของการขาดเอสโตรเจนได้ในหญิงที่หมดประจำเดือน แต่ไฟโตรเอสโตรเจนมีผลในแง่ที่ต่างกับเอสโตรเจนก็คือจะไม่มีผลไปกระตุ้นต่อเซลล์มะเร็งที่ไวต่อเอสโตร เจน  และการที่ไฟโตรเอสโตรเจนไปแย่งที่กับเอสโตรเจนได้ ก็จะทำให้เอสโตรเจนที่ร่างกายมีอยู่ออกฤทธิ์ได้น้อยลง  และในระดับที่ยิ่งมีความเข้นข้นของไฟโตรเอสโตรเจนในร่างกายมากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งไปแย่งที่การจับกับเอสโตรเจนได้มากขึ้นเท่านั้น จึงยิ่งทำให้มีผลดีต่อการรักษามะเร็งเต้านม  มะเร็งมดลูก  และในขณะเดียวกันผลที่คล้ายกับเอสโตรเจนนี้ก็จะไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วยเช่นกัน
ไฟโตรเอสโตรเจนพบได้ในพืชกว่า 70 ชนิด ทั้งพืชที่เป็นสมุนไพรและพืชที่เป็นอาหาร  เช่น

ในสมุนไพรจะพบได้ใน พลู (ใบ, ราก)  ดีปลี (ราก) ลักกะจั่น จันทร์แดง หญ้าคา, หญ้าแพรก (ใบและเมล็ด) แห้วหมู (ราก) สบู่ดำ (เมล็ด) ระหุ่ง (เมล็ด) น้ำนมราชสีห์ (ทั้งต้น) ลูกใต้ใบ (ทั้งต้น) คูน (ผล) มะกล่ำตาหนู (เมล็ด) กวาวเครือ (ราก) ตังกุย (ราก)  ทองกวาว (ราก) ชบาแดง (ราก, ดอก) ฝ้ายแดง (เมล็ด) เจตมูลเพลิงแดง (ราก) คัดเค้า (ผล) มะคำดีควาย (ผล) เทียนดำ (เมล็ด) เทียนสัตตบุตษ์ (เมล็ด)  เทียนข้าวเปลือก (เมล็ด) คนทีเขมา (เมล็ด) ปาล์ม (เมล็ด) ว่านชัดมดลูก (เหง้า) ขิง (เหง้า) ประทัดจีน (แก่น) สะเดาอินเดีย (ใบ) แพงพวยฝรั่ง (ใบ, ราก) หญ้าหัวโต (ทั้งต้น) ครามป่า (เมล็ด) ชิงดอกเดียว (ราก) ส้มกุ้ง (ราก) อีหรุด น้อยหน่า (เมล็ด)  

ส่วนในพืชที่เป็นอาหาร เช่น  กระเจี๊ยบแดง (กลีบเลี้ยง) กระเทียม พริกไทย กระชาย กระเพรา สะระแหน่ โหระพา (ใบ) สับปะรด มะละกอ (เมล็ด) ปูเล่ กะหล่ำดอก ผักกาดแดง (เมล็ด)  มะนาว และมะกรูด (เปลือก ผล) บัวบก ขมิ้น ถั่วต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลือง โกโก้ มะพร้าว(น้ำมะพร้าวอ่อน) อินทผลัม แครอท (หัว) น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน  ผลิตภัณฑ์จากองุ่นทั้งไวน์ขาว และไวน์แดง  พืชที่จัดว่ามีไฟโตรเอสโตรเจนในระดับสูง คือ กวาวเครือ(ราก)    ตังกุย(ราก)   Flaxseed หรือ Linseed(เมล็ดของต้น flax ซึ่งใช้ทำผ้าลินิน)   ถั่วต่างๆ (ถั่วเหลืองมีมากกว่าถั่วเขียว ถั่วลันเตา) น้ำมะพร้าวอ่อน 

Source: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Saturday, May 25, 2013

ไขมันอิ่มตัว vs.ไขมันไม่อิ่มตัว

ไขมัน ที่มีอยู่ในอาหารมีส่วนประกอบของกรดไขมัน (fatty acid) มีธาตุคาร์บอน ธาตุไฮโดรเจน และธาตุออกซิเจน เรียงจับกันในลักษณะต่างๆ สามารถแบ่งตามโครงสร้างทางเคมี ได้ดังนี้

1. ไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) คือไขมันที่มีโครงสร้างคาร์บอนเรียงจับกันครบ ไขมันชนิดนี้ร่างกายสามารถสร้างได้เอง 
ถ้ารับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง เกิดการอุดตันของเส้นเลือด เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด

2. ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsatuarated fatty acid) คือไขมันที่ธาตุคาร์บอนยังมีเหลือสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนได้ แบ่งออกเป็น

ก. กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acid) ได้แก่ กรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่ถ้ารับประทานเข้าไปมาก ก็ไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และมีแนวโน้มที่จะช่วยลดไขมันในเลือดด้วย

ข. กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acid) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องรับจากอาหาร ไขมันที่สำคัญคือ Omega-3 (Alpha-linolenic acid) และ Omega-6 (linolenic acid)

ในหมู่ไขมันในอาหาร มีไขมันที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ จะเป็นไขมันที่อยู่ในกลุ่มไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันเหล่านี้อยู่ในอาหารอะไรบ้าง เรามาดูกัน

น้ำมันมะกอก (Olive oil) เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของกรดโอลิอิก (Oleic acid) ซึ่งจะไม่เพิ่มระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด และเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูล (Antioxidants) ช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยลดการทำลายหลอดเลือด ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน

น้ำมันจากเมล็ดพืช

น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์หรือเมล็ดลินิน (Flaxseed oil/Linseed oil) เป็นเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยกรดไขมันชนิด โอเมก้า 3 หรือ กรดแอลฟาไลโนเลนิค  และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย

น้ำมันคาโนลา (Canola oil) เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของ กรดโอลิอิก (Oleic acid) ซึ่งช่วยลดไขมันในเลือดชนิด LDL ที่เป็นคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีให้ลดลง และมีส่วนประกอบของ โอเมก้า Omega-3 และ Omega-6 ซึ่ง Omega-3 มีส่วนช่วยลดไขมันไตรกรีเซอไรด์ และลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ที่เป็นต้นเหตุให้เส้นเลือดหัวใจอุดตัน จึงมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

แต่นับว่าเป็นข่าวร้ายที่นักวิจัยพบว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นที่เราใช้อยู่ปัจจุบันคือ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดฝ้าย มีส่วนของ omega-6 มากกว่า omega-3

ซึ่ง omega-6 นี้แม้จะมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็เป็นต้นเหตุให้ความดันเลือดสูง ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดง่ายขึ้น ทำให้เกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ง่าย และทำให้ร่างกายบวมน้ำ ดังนั้นถึงแม้เราจะใช้ไขมันเหล่านี้ปรุงอาหาร ก็ควรหลีกเลี่ยงอย่าใช้มากเกินจำเป็น และหลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันมาก เช่น ของทอด หรือผัด ควรทานอาหารประเภทต้ม หรือนึ่งมากกว่า

น้ำมันปลา (Fish oil)น้ำมันปลา (อย่าสับสนกับน้ำมันตับปลา) ในปลาทะเลได้แก่แซลมอน ทูน่า ซาดีน เฮอร์ริ่ง เป็นปลาที่มีกรดไขมัน omega-3 จากการศึกษาพบว่าการทานปลาเหล่านี้ สองครั้งต่อสับดาห์ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นและอารมณ์ดีขึ้น

ถั่วนัท (nut)ได้แก่ ถั่วแอลมอนด์ วอลนัท พีนัท พีแคน จะมีไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Monounsaturated fatty acid ช่วยลดปริมาณไขมัน LDL ได้ และในวอลนัท จะมีปริมาณ Omega-3 สูงด้วย แต่ในการทานถั่วนี้ ไม่ควรทานในรูปของ ถั่วคั่วใส่เกลือ เพราะมีพลังงานสูงและเกลือมากเกินไป

ถึงแม้ไขมันเหล่านี้ จะเป็นมิตรต่อสุขภาพ แต่ก็เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ดังนั้นการทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็ต้องระวังเรื่องความอ้วนด้วย จึงไม่ควรทานมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย

Sources: Good Fats, Bad Fats, by Rosemary Stanton, PhD, Marlowe & Co. * The PDR Family Guide to Nutrition and Health, Medical Economics Co. 2003 WebMD Inc. All rights reserved.

โดย พญ.รุ่งทิพย์ วรรณวิมลสุข แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) - อาหารเพื่อสุขภาพ

เมล็ดแฟล็กซ์ (Flaxseed /Linseed)



 

เมล็ดแฟลกซ์หรือเมล็ดลินิน มีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดงา เป็นเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยน้ำมันแฟลกซ์ ซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 หรือ กรดแอลฟาไลโนเลนิค  และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย กรดไขมันที่จำเป็นเหมือนน้ำมันปลา (fish oil)  มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล (cholesterol) ช่วยป้องกันเลือดจับกันเป็นก้อน ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต

ในเมล็ดแฟล็กซ์มีไฟเบอร์ทั้ง 2 ชนิด คือ ที่ละลายน้ำได้ จะช่วยลดระดับโคเรสตอรอลและปรับระดับกลูโคสในร่างกาย ทำให้อยากทานประเภทคาร์โบรไฮเดรตน้อยลง ส่วนไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยไม่ให้ของเสียสะสมอยู่ในร่างกายนาน เมล็ดแฟลกซ์มีผลเป็นยาระบายท้องผูก เพราะมีความเป็นเยื่อสูง ช่วยในระบบขับถ่ายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
แต่การบริโภคปริมาณมาก โดยไม่บริโภคน้ำเพียงพอ จะทำให้ไปอุดตันในลำไส้เล็กได้

เมล็ดแฟล็กซ์  (ไม่ใช่น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์)  มีสารชื่อ 'ลิกแนน (Lignans)' ซึ่ง คุณสมบัติของสารนี้มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศหญิง (phytoestrogen) ธรรมชาติ ฮอร์โมนที่สามารถไปช่วยหล่อเลี้ยงสมองและระบบประสาท ผิวหนัง ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง และระบบสืบพันธุ์ ช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ดี เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ในเวลากลางคืน หลับไม่สนิท ผิวแห้ง ตาแห้ง ช่องคลอดแห้ง นอกจากนั้นลิกแนนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา เสริมสร้างกระดูก จึงไม่เป็นโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)

เมล็ดแฟล็กซ์ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และบี 2 วิตามินซี ดี และวิตามินอี รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆ แถมยังมีโปรตีนเกือบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ มีกรดอะมิโนที่ช่วยยับยั้งความหิว ช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี เปล่งปลั่ง

เมล็ดแฟลกซ์เป็นผลดีในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก (Breast cancer, Prostate cancers) โดยผลวิจัยของมหาวิทยาลัย Duke แนะว่าเมล็ดแฟลกซ์น่าจะมีผลดีต่อการหยุดยั้งการเติบโตของมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดความรุนแรงของเบาหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่

ขนาดรับประทาน :

- เมล็ดแฟลกซ์ ก่อนนำมารับประทานต้องนำมาบดกับเครื่องบดก่อนร่างกายจึงจะสามารถย่อยและดูดซึมได้ดี
เมล็ดแฟลกซ์มีรสหอมมัน เมล็ดแฟลกซ์ไม่มีกลิ่นหรือรส อาจนำมาประกอบอาหาร เครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติ
ใส่แฟลกซ์ป่นในอาหาร แกงหรือซุป ใส่ในสลัด ในกาแฟและเครื่องดื่มร้อน 

- หากเป็นน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ รับประทาน 1 ช้อนชาถึง 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือในรูปของอาหารเสริมประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม (น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ จะไม่มี สาร lignan phytoestrogen)

ข้อควรระวัง :

- เนื่องจากการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น warfarin ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด หรือทำฟัน ควรหยุดรับประทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

- น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เสื่อมสภาพง่ายเมื่อถูกแสงและความร้อน ควรเก็บรักษาในที่เย็น ควรบดเท่าที่พอกิน ไม่เก็บแฟลกซ์ป่นไว้นานเกินไป เพราะน้ำมันแฟลกซ์เหม็นหืนได้

น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาไม่ได้